October 11, 2017 Editorial

Telemedicine เปิดพื้นที่ใหม่ในการดูแลสุขภาพใจที่บ้านของคุณ

คงต้องขอบคุณเทคโนโลยีการสื่อสาร ที่ทำให้การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเยียวยาจิตใจ ไม่จำเป็นต้องอยู่แต่ในคลินิกอีกต่อไป และนั่นทำให้ทั้งผู้ให้บริการและคนไข้ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น 

การดูแลสุขภาพใจเป็นหนึ่งในบริการทางการแพทย์ ที่แพทย์ไม่จำเป็นต้องสัมผัสตัวผู้ป่วย ซึ่งหมายความว่าการปรึกษากับจิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือที่ปรึกษาทางด้านสุขภาพใจทั้งหลาย สามารถได้ประโยชน์จากบริการทางแพทย์แบบดิจิตอลเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับการให้บริการทางการแพทย์ด้านอื่น

และรูปแบบของการให้บริการเยียวยาสุขภาพใจผ่านทาง Telemedicine ก็เป็นหนึ่งในบริการทางการแพทย์ ที่เติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดในสหรัฐฯ ในทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ก็เนื่องมาจากเทคโนโลยีวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ที่ก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก

 

Telemedicine ถูกที่ถูกเวลา

จากข้อมูลของ American Association of Medical Colleges ในสหรัฐฯ ผู้ให้บริการทางด้านสุขภาพใจในสหรัฐฯ ในช่วงปี 1995-2013 จำนวนของจิตแพทย์ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 12 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 49,000 คน แต่ประชากรก็เพิ่มขึ้นถึง 37 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเดียวกัน

ในขณะเดียวกัน ข้อมูลของ Merritt Hawkins บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาทางด้านการแพทย์ ก็ชี้ว่า มากถึง 60 เปอร์เซ็นต์ของจิตแพทย์อายุมากกว่า 55 และราว 48 เปอร์เซ็นต์อายุ 60 หรือแก่กว่า กำลังจะเกษียณอายุ และรายได้เฉลี่ยต่อปีของจิตแพทย์ น้อยกว่าศัลยแพทย์ราว 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนี่อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้นักศึกษาแพทย์ไม่อยากเลือกทำอาชีพนี้

แต่ขณะที่จำนวนของจิตแพทย์ที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย จำนวนของผู้ป่วยโรคทางใจในสหรัฐฯ กลับเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในเขตชนบทและเขตห่างไกลความเจริญ ที่ซึ่งแพทย์เฉพาะทางหรือผู้เชี่ยวชาญ มักจะขาดแคลนอยู่แล้ว ข้อมูลของรัฐระบุว่า พื้นในเขตชนบทอย่างน้อย 4,000 แห่ง มีสัดส่วนของจิตแพทย์หนึ่งคนต่อคนไข้ 30,000 คน ในบางรัฐซึ่งมีพื้นที่เมืองเป็นส่วนใหญ่ อย่างเช่นแมสซาชูเซ็ทท์ นิวยอร์ก คอนเนคติกัต โร้ดไอส์แลนด์ มีสัดส่วนของจิตแพทย์ 15 คนต่อคนไข้ 100,000 คน ขณะที่รัฐซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนบทอย่างมอนตาน่า ไวโอมิง เนวาด้า และไอดาโฮ สัดส่วนของจิตแพทย์มีน้อยกว่า 6 คนต่อคนไข้ 100,000 คน

นี่ทำให้รายงานชิ้นหนึ่งเมื่อปี 2016 โดยบริษัทกฎหมาย Epstein Becker Green ได้ชี้เป้าไปยังทางออกใหม่ที่กำลังมาแรงนั่นก็คือ Telemedicine โดยรายงานฉบับนี้ได้วิเคราะห์ความสามารถในการรองรับปัญหาสุขภาพจิตของแต่ละรัฐ พร้อมกับชี้ว่า Telemedicine เป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะอย่างมากในการรับมือกับความต้องการเหล่านี้

 

จุดเด่นของ Telemedicine กับโรคทางใจ

ไม่เพียงแต่เรื่องของการเข้าถึงแพทย์ทีง่ายขึ้น แต่ Telemedicine ดูจะมีประโยชน์มากขึ้นจากการที่จิตแพทย์ได้พูดคุยกับคนไข้ผ่านทางวิดีโอคอลล์ อย่างเช่นที่ จอห์น ชาร์ป หัวหน้าเจ้าหน้าที่ทางด้านพฤติกรรมสุขภาพ ของ MD Live ชี้ว่า “ไม่เพียงแต่เราจะสามารถมองหน้ากับคนไข้ได้ผ่านทางจอ แต่เราสามารถเห็นได้ด้วยว่าคนๆ นั้นใช้ชีวิตอย่างไร”

เซเรียน่า เจสส์-ฮัฟฟ์ รองประธานกรรมการของ American Well บริษัททางด้าน Telehealth ชั้นนำในสหรัฐฯ ก็ยืนยันเช่นกันว่า “คุณสามารถเข้าไปสู่สภาพแวดล้อมของคนไข้ได้จริงๆ ด้วยแพลตฟอร์มทางออนไลน์ นี่ทำให้ Telemedicineเป็นแพลตฟอร์มในฝันของจิตเวชเลยล่ะ”

เจสส์-ฮัฟฟ์ชี้ว่า รูปแบบการรักษาทางออนไลน์ทำให้จิตแพทย์สามารถมองเข้าไปในโลกของผู้ป่วยได้มากขึ้น และมีโอกาสเห็นว่าคนไข้เป็นอย่างไรที่บ้าน โดยเธอทวนความจำถึงการรักษาเคสหนึ่ง ซึ่งจิตแพทย์ใช้เวลาถึง 6 ครั้งกับคนไข้ในสำนักงานแพทย์ ซึ่งในระหว่างนั้นผู้ป่วยมักพูดถึงสภาพแวดล้อมที่บ้านว่ารกรุงรังอย่างมาก จนกระทั่งการพูดคุยผ่านวิดีโอคอลล์จากบ้านของผู้ป่วย ทำให้จิตแพทย์ค้นพบว่าผู้ป่วยเป็นพวกบ้าการเก็บสะสมข้าวของ (Hoader Disorder)

บ่อยครั้งที่การได้เห็นเพียงชีวิตที่บ้าน ครอบครัว เพื่อนบ้านของผู้ป่วย แม้เพียงแว่บเดียว ก็สามารถช่วยให้จิตแพทย์เข้าใจผู้ป่วยของเขาได้ดีขึ้น และสามารถช่วยให้วินิจฉัยอาการของผู้ป่วยได้ชัดเจนขึ้นด้วย

 

 

เรื่องเล่าจากมุมของจิตแพทย์

นพ.เจมส์ วาร์เรลล์ จิตแพทย์ในเมือง Marlton รัฐนิวเจอร์ซีย์ ผู้ซึ่งมีคนไข้รอเข้าคิวเพื่อพบกับเขาที่คลินิกยาว 2-3 เดือน แต่ถ้าคนไข้คนไหนที่ต้องการนัดหมายการพบกันทางออนไลน์ คนไข้จะสามารถได้คิวพบเขาได้ภายใน 1-2 วัน

“การพบกันทางออนไลน์ สามารถทำได้ทุกที่” เขาบอก “เราพบกันได้ในที่ซึ่งพวกเขา (คนไข้) รู้สึกสบายใจ”

นอกเหนือจากประเด็นเรื่องการเข้าถึงแล้ว วาร์เรลล์ยังบอกด้วยว่า การปรึกษาพุดคุยทางออนไลน์ เป็นที่สนใจเป็นพิเศษสำหรับคนไข้ที่มีปัญหาในการออกจากบ้าน ด้วยเหตุผลทั้งทางอารมณ์หรือทางร่างกาย

วาร์เรลล์เปิดการรักษผ่านทางออนไลน์มาตั้งแต่ปี 1999 ตอนนั้นเทคโนโลยียังซับซ้อนและมีราคาแพง และบางทีก็เอาแน่นอนไม่ได้ ทำให้ไม่ค่อยมีใครคิดถึงวิธีการนี้เท่าไหร่นัก

แต่เวลาเปลี่ยนไปแล้ว เทคโนโลยีราคาถูกลง มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเข้าถึงได้ง่าย ไม่เพียงแต่คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ แต่ยังมีแล็บท็อป แทบเล็ต และสมาร์ทโฟน เสียงและวิดีโอ ก็ดีขึ้นมาก วาร์เรลจึงไม่เพรยงแต่เห็นหน้าคนไข้ แต่ยังเห็นสภาพแวดล้อมรอบตัวคนไข้ด้วย

วาร์เรลล์บอกว่า จิตแพทย์สามารถเรียนรู้เกี่ยวกับคนไข้มากขึ้น–จากการคุยกันผ่านวิดีโอ–เมื่อเทียบกับการพบกันที่คลินิกแพทย์

“เราได้เห็นพวกเขาในสภาพแวดล้อมที่บ้าน ได้เห็นครอบครัวเขา และการดูแลที่เขาได้รับ แทนที่ต้องฟังเขาอธิบายให้ฟังเวลาเจอกันที่คลินิก มันช่วยให้เราประเมินโรคของคนไข้ได้จากบ้านของพวกเขา แล้วก็ยังช่วยให้คนไข้ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการเดินทาง และเสียค่าเดินทางมาที่คลินิก มันช่วยยังให้ได้ช่วยเหลือคนไข้สูงอายุ ที่อาจไม่เคยได้รับการรักษามาก่อนด้วย”

เช่นเดียวกัน คนไข้ส่วนมากของเขาก็สบายใจมากกว่าเวลาอยู่ที่บ้าน และลงเอยด้วยการเล่าเรื่องต่างๆ ให้เขาฟังมากกว่าเวลาอยู่ที่คลินิก

ตอนนี้วาร์เรลล์เจอคนไข้ราว 80 เปอร์เซ็นต์แบบตัวต่อตัว แต่จำนวนนั้นกำลังจะเปลี่ยนไป และวาร์เรลล์ชี้ให้เห็นถึงข้อดี ทั้งสำหรับไข้และสำหรับแพทย์ อย่างเช่นเขาสามารถพบกับคนไข้สองสามคนแบบตัวต่อตัว จากนั้นก็เปิดคอมพิวเตอร์เพื่อพบกับคนไข้บางคนออนไลน์ หรือสามารถทำงานจากที่บ้านได้ด้วยในบางกรณี จิตแพทย์บางคนที่มีครอบครัวชอบทางเลือกนี้ หรือแพทย์บางคนที่อยากเกษียณหรือทำงานน้อยลง แต่ยังอยากดูแลคนไข้บางคนอยู่ ก็สามารถทำได้ หรือแพทย์ที่ไปพักร้อน แต่ไม่อยากทิ้งนัดหมายสำคัญ ก็สามารถทำได้ผ่านทางTelemedicine

“มันกำลังเจิญงอกงามขึ้นเรื่อยๆ” วาร์เรลล์บอก “มันเป็นโลกใหม่สำหรับเรา และ Telemedicineก็กำลังทำให้พื้นที่ในบ้านสามารถสร้างความแตกต่างแก่คนไข้ได้มากขึ้นจริงๆ”

และเรื่องเล่าเช่นนี้ก็กำลังเกิดขึ้นแล้วเช่นกันในเมืองไทย เมื่อ See Doctor Now ได้นำเอาเทคโนโลยี Telemedicineมาช่วยให้การพบกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านจิตวิทยา สามารถเกิดขึ้นได้ในบ้านของคุณเอง

ไม่เพียงแต่จะตัดความกังวลในเรื่องความเป็นส่วนตัว แต่ยังมั่นใจได้ถึง “คุณภาพ” ของการดูแลรักษา ด้วยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่คัดสรรมาแล้วอย่างพิถีพิถัน

ถ้ามีปัญหากับสุขภาพใจ ให้โอกาสเราได้ดูแลคุณนะครับ

 

อ้างอิงจาก

https://mhealthintelligence.com/features/telepsychiatry-opens-a-new-window-into-behavioral-healthcare

,