August 8, 2017 Editorial

ปวดหัว แบบไหนบอกอะไรคุณได้บ้าง

ปวดหัว เป็นอาการที่ทุกคนต่างเคยเจอ ไม่ว่าจะปวดมากปวดน้อย แต่อาการปวดหัวแต่ละอย่างนั้นไม่เหมือนกัน นี่คือ 4 อาการปวดหัวที่พบกันบ่อยที่สุด และสาเหตุของมัน

ปวดหัว เป็นอาการตอบสนองทางร่างกายต่อสิ่งเร้าที่เกิดกับร่างกายของเรา ถึงแม้เราจะรู้สึกเหมือนกันว่า ปวดหัวก็คือปวดหัว แต่ความจริงแล้วอาการปวดนั้นแตกต่างกันไปทั้งความรู้สึกและความรุนแรง รวมถึงตำแหน่งที่เกิดอาการปวดด้วย ฉะนั้น การจะรับมือกับอาการปวดหัวแต่ละแบบ เราควรมาทำความรู้จักกับความรู้สึกของการปวดและตำแหน่งที่ปวดกันก่อน เพราะอาการปวดหัวแต่ละแบบนั้นบ่งบอกสาเหตุและโรคที่แตกต่างกันไปครับ

 

ปวดหัว ข้างเดียว

ลักษณะของอาการปวดแบบนี้ก็คือ มักจะมีอาการปวดเพียงด้านเดียวของศีรษะ อาจมีการย้ายข้างได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่จะปวดเพียงข้างเดียวของศีรษะ โดยมักจะปวดบริเวณขมับ ความรู้สึกจะปวดตุบๆ ตามจังหวะชีพจร มักจะปวดมากขึ้นเมื่อขยับร่างกาย และมักจะมีอาการรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งจะเกิดอาการปวดที่ด้านหลังดวงตาและศีรษะร่วมด้วย บางคนอาจมีอาการไวต่อแสงและเสียง และอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วยเป็นบางครั้ง

อาการปวดหัวแบบนี้เป็นอาการปวดเนื่องมาจากโรคไมเกรน ซึ่งเป็นหนึ่งในโรคที่สร้างความทรมานให้ผู้ป่วยทั่วโลกมากกว่าร้อยละ 10 ในเมืองไทยก็มีสถิติของผู้ป่วยไมเกนมากกว่าร้อยละ 17 โดยส่วนใหญ่เป็นกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

ระยะเวลาของอาการปวดอาจแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย บางรายอาจปวดนานถึง 72 ชั่วโมง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วยาแก้ปวดธรรมดาแบบพาราเซตามอลมักใช้ไม่ได้ผลกับการปวดหัวแบบไมเกรน ต้องใช้ยาแก้ปวดที่แรงขึ้น เพราะฉะนั้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อสั่งยาให้จะดีกว่านะครับ อีกอย่างหนึ่งก็คือ หากมีอาการปวดหัวจากไมเกรนบ่อยๆ แพทย์จะสามารถแนะนำให้กินยาป้องกันได้ด้วยครับ

 

ปวดหัว ตื้อๆ หนักๆ

เคยเป็นกันมั้ยครับ อาการปวดตื้อๆ หนักๆ ที่ขมับ หน้าผาก กลางศีรษะ และท้ายทอย อาการปวดจะรู้สึกเท่าๆ กันทั้งสองด้านของศีรษะ โดยอาจจะเริ่มต้นที่ด้านหลังของศีรษะ และคอ แล้วเรื่อยลงไปที่ไหล่ หรืออาจปวดจากไหล่ขึ้นมาหาศีรษะก็เป็นได้

อาการปวดนี้อาจจะต่อเนื่องกันอยู่นานเพียงครึ่งชม. จนถึงหลายวัน บางคนอาจปวดนานติดต่อกันทุกวันเป็นสัปดาห์ หรืออาจเป็นแรมเดือน หรืออาจเป็นๆ หายๆ ก็ได้ โดยอาการปวดมักจะคงที่ ไม่ปวดรุนแรงขึ้นจากที่เริ่มเป็น ส่วนมากจะเป็นความรู้สึกปวดตื้อๆ หนักๆ พอรำคาญ หรือทำให้รู้สึกไม่สบาย แต่จะไม่มีไข้ ไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ตาพร่าลาย ไม่ปวดมากขึ้นเมื่อถูกแสง หรือมีการเคลื่อนไหวของร่างกาย โดยอาจจะปวดตั้งแต่หลังตื่นนอนตอนเช้า หรือไปปวดเอาตอนบ่ายๆ เย็นๆ หรือหลังจากต้องคร่ำเคร่งทำงานหนัก หรือมีเรื่องวิตกกังวล

หากนี่คืออาการปวดที่คุณกำลังเชิญอยู่ คุณอาจกำลังเจออาการปวดหัวเนื่องจากความเครียดเข้าให้แล้วก็ได้ครับ

อาการปวดหัวจากความเครียดเป็นหนึ่งในอาการปวดหัวที่พบบ่อยที่สุด ในกลุ่มคนวัยทำงานในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่สาเหตุจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อบริเวณศีรษะ ลำคอ และใบหน้า ซึ่งอาจถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้าหลาย รวมทั้งการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อไหล่ คอ จากท่านั่ง ความเครียด หรือการขาดการนอนหลับ

หากคุณรู้สึกว่ากำลังถูกรบกวนด้วยอาการปวดหัวแบบนี้ ซึ่งอาจบรรเทาได้ด้วยการกินยาแก้ปวดแบบธรรมดา แต่ถ้าปวดหัวอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจนะครับ การปรึกษาแพทย์จะช่วยให้ความรู้ที่ถูกต้องในการดูแลตัวเองและการปฏิบัติตัว ซึ่งเทคโนโลยีการแพทย์แบบ Telemedicine สามารถช่วยคุณในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถพบแพทยืได้ในทันทีที่ต้องการ โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปพบแพทย์ เหมาะอย่างยิ่งกับชีวิตของคนทำงานอย่างเราๆ ครับ

 

ปวดหัวหรือปวดฟัน

อาจมีบางครั้งที่คุณรู้สึกปวดร้าวที่แนวกรามและขากรรไกร จากนั้น ก็ลามไปปวดที่ศีรษะทั้งสองข้าง เป็นอาการปวดเหมือนมีอะไรมารัดรึงที่หัว หรือปวดตื้อๆ หรืออาจมีอาการปวดรอบๆ ลูกตาด้วย

อาจฟังดูไม่น่าเชื่อที่อาการปวดหัวแบบนี้ สาเหตุที่แท้จริงแล้วมาจากไม่ได้มาจากหัว แต่มาจากปัญหาเรื่องสุขภาพฟันของเรา เนื่องมาจากฟัน ข้อต่อกรรไกร กล้ามเนื้อบดเคี้ยว กล้ามเนื้อคอ และกล้ามเนื้อบริเวณไหล่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน จึงมีส่วนชักนำทำให้เราปวดหัวได้

โดยหากเรามีปัญหาเรื่องการสบฟันที่ผิดปกติ เช่น มีฟันเก ฟันล้ม ฟันถูกถอนไป มีการเคี้ยวข้างเดียวไม่สมดุล การทำงานของกล้ามเนื้อก็พลอยไม่สมดุลไปด้วย เพราะทำงานหนักไปข้างหนึ่ง โดยไม่มีโอกาสพักทำงานตลอดเวลา ทำให้มันมีการสะสมของการดึงรั้งอย่างมาก จนในที่สุดก็เป็นการเปลี่ยนมาเป็นการเจ็บปวดที่ศีรษะแทน

อาการปวดแบบนี้เรียกว่าเป็น “อาการปวดแบบส่งต่อ” หรือ “referred pain” นั่นคือ ต้นตอการปวดอยู่ที่หนึ่ง แต่จะไปรู้สึกมีอาการปวดอีกที่หนึ่ง

เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาจึงไม่ใช่แค่การกินยาแก้ปวด แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง ซึ่งหากอาการปวดหัวของคุณมาจากการปัญหาเรื่องฟัน จะได้ปรึกษาทันตแพย์เพื่อตรวจภายในช่องปากและทำการรักษาต่อไปครับ

 

ปวดหน่วงๆ ที่หน้าผากและกระบอกตา

ถ้าคุณกำลังรู้สึกถึงอาการปวดตื้อๆ หน่วงๆ บริเวณหน้าผาก ร้อนผ่าวๆ ที่กระบอกตา รวมถึงโหนกแก้ม ในบางรายอาจรู้สึกคล้ายปวดฟันซึ่บน โดยอาจปวดเพียงข้างเดียวหรือปวดทั้งสองข้างก็ได้ บางครั้งอาจมีอาการมึนศีรษะร่วมกับอาการปวด และอาการปวดมักจะเป็นมากขึ้นในช่วงเช้าหรือบ่าย และเวลาก้มศีรษะหรือเปลี่ยนท่า

อาการปวดในลักษณะนี้ เมื่อมีอาการอื่นร่วมด้วย อย่างเช่นอาการเป็นหวัดคัดจมูก น้ำมูกไหลนานต่อเนื่อง ไอติดต่อกัน ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น ก็สันนิษฐานได้ว่านั่นไม่ใช่แค่อาการปวดหัวธรรมดาๆ แต่คุณอาจเจอกับอาการไซนัสอักเสบเข้าให้แล้วครับ

ไซนัส ก็คือโพรงอากาศที่อยู่รอบๆ โพรงจมูกเราทั้งซ้ายและขวา มีหน้าที่ให้ความอบอุ่นและความชื้นแก่อากาศที่หายใจเข้าไปในทางเดินหายใจ ช่วยปรับเสียงพูด ช่วยในการรับรู้กลิ่น และสร้างเมือก เพื่อให้ความชื้นและชะล้างโพรงจมูก ตามปกติทางเชื่อมต่อนี้จะเปิดโล่งและเมือกหรือน้ำมูลใสๆ ที่มีการสร้างอยู่ในไซนัส ก็สามารถไหลระบายลงสู่โพรงจมูกได้

แต่ถ้าหากทางเชื่อมดังกล่าวเกิดการอุดกั้นขึ้นมาด้วยสาเหตุใดก็ตาม เมือกที่ผลิตในไซนัสไม่สามารถออกมาได้ ก็จะทำให้เรามีอาการปวดบริเวณหน้าผาก หัวคิ้ว ระหว่างตาทั้งสองข้างหรือบริเวณแก้ม ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเพียงพอ รูเปิดระหว่างช่องจมูกและไซนัสมีการตีบตันมานานจนเรื้อรัง การบวมของเยื่อบุอาจจะเปลี่ยนแปลงเป็นริดสีดวงจมูก หรือมีการอักเสบติดเชื้อเป็นหนองในไซนัสได้

ไซนัสอักเสบบางชนิดรักษาให้หายขาดได้ บางชนิดอาจรักษาหาย แต่ก็มีโอกาสสูงที่จะกลับมาเป็นใหม่ ทางที่ดีที่สุดก็คือควรปรึกษาแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ อย่าปล่อยให้เป็นเรื้อรังครับ

เพราะฉะนั้นถ้ารู้สึกปวดหัวในแบบที่ว่านี้ อย่าเพิ่งคว้ายาแก้ปวดมากินประทังไปวันๆ เลยครับ การปรึกษาแพทย์จะช่วยคุณได้ดีที่สุด โดยหากยังไม่แน่ใจว่าอาการปวดของตัวเองจะเกี่ยวเนื่องกับสาเหตุใดๆ การได้ปรึกษาแพทย์โดยตรงจะช่วยให้คำแนะนำได้อย่างถูกต้องและตรงจุด ซึ่งเดี๋ยวนี้ การปรึกษาแพทย์ก็สามารถทำได้อย่างง่ายๆ ด้วยเทคโนโลยี Telemedicine ที่สามารถได้รับคำปรึกษาได้อย่างทันใจทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางเลย

คราวนี้ ก็ไม่ต้องทนกับอาการปวดแบบไม่รู้สาเหตุ และไม่ต้องกินยาแก้ปวดแบบผิดวิธีกันอีกต่อไปแล้วนะครับ

, , , ,