ผู้ป่วยที่มีประวัติโรคหอบหืด หรือมีอาการหอบ ควรเตรียมตัวสำหรับสถานการณ์ป่
อาการของโรคหอบหืด
ไอติดๆ กัน รู้สึกแน่นหน้าอก หอบ หายใจดังเป็นเสียงลม ความรุนแรงของอาการแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคในแต่ละคน ตัวอย่างเช่น มีอาการหอบเมื่อเดิน แต่เมื่อนั่งลงอาการก็หาย ในขณะที่ถ้ามีอาการรุนแรงอาจไม่สามารถควบคุมได้ และอาจเป็นอันตราย ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการรักษาหรือปฐมพยาบาลในกรณีที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
วิธีปฏิบัติต่ออาการหอบหืดแบบฉุกเฉิน
แผนการฉุกเฉินสำหรับแพทย์และผู้ป่วยโรคหอบหืด เพื่อให้รู้ถึงความร้ายแรงของอาการและวิธีปฏิบัติตัว ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 3 ขั้นความรุนแรง
โซนสีเขียว: ปราศจากอาการ และสามารถทำกิจกรรมตามปกติได้ ถ้าใช้ยาควบคุมประจำวันอยู่ ควรใช้ไปอย่างต่อเนื่อง
โซนสีเหลือง: มีอาการหอบหืด หรือมีอาการแย่ลงกว่าปกติ ควรใช้ยาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการหอบหืดรุนแรง
โซนสีแดง: มีอาการหอบหืดฉุกเฉิน และมีอาการต่างๆ เหล่านี้ร่วมด้วย ให้รีบขอความช่วยเหลือฉุกเฉินทันที
• รู้สึกหายใจไม่ออกแม้ในขณะที่ไม่ได้เคลื่อนไหว
• มีปัญหาในการเดิน การพูด หรือทำกิจกรรมต่างๆ
• ยังรู้สึกไม่ดีขึ้นหลังจากใช้เครื่องช่วยหายใจ
• ริมฝีปากและเล็บเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้ม อาจจะดูม่วงหรือน้ำเงิน
• อ่อนเพลีย หรือสับสน
• ผิวรอบๆ ซี่โครงดูยุบลงไป (โดยเฉพาะในเด็ก)
• ไม่ได้สติ
นอกจากนั้นควรปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด รวมถึงรีบใช้ยาพ่นเมื่อยามจำเป็น และใช้เครื่อง peak flow meter วัดอัตราการไหลของอากาศหายใจอยู่เสมอ
นอกจากนี้แต่ละบุคคลอาจมีอาการและความรุนแรงที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นทางที่ดีผู้ป่วยและแพทย์ประจำตัวควรมีข้อตกลงและแผนการรับมือที่กำหนดร่วมกันด้วยครับ
ผู้ป่วยยังควรเตรียมข้อมูลให้พร้อมอยู่กับตัวเสมอ เพื่อการรักษาที่ทันท่วงที หรือเมื่อเกิดอาการร้ายแรงและไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการรักษาอย่างต่อเนื่อง
• ชื่อผู้ป่วย
• ชื่อแพทย์ประจำตัวที่รักษาอยู่
• โรงพยาบาลที่ทำการรักษาอยู่
• ค่าการอ่านจากเครื่อง peak flow meter
• สิ่งที่กระตุ้นอาการหอบหืด
• อาการต่างๆ ที่เป็น
• รายชื่อยาที่รับประทาน
ที่สำคัญผู้ป่วยควรบอกที่เก็บข้อมูลเหล่านี้ให้ครอบครัว เพื่อน หรือคนรอบข้างรู้ด้วย เพื่อที่จะหาเจอและนำมาให้แพทย์เมื่อผู้ป่วยอยู่ในกรณีฉุกเฉินและไม่สามรถช่วยเหลือตัวเองได้
Source: WebMD Medical Reference Reviewed by Jennifer Robinson, MD on October 19, 2015